วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ดาวอังคาร


ดาวอังคาร


 ดาวอังคาร เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 4 ชื่อละตินของดาวอังคาร (Mars) มาจากชื่อเทพเจ้าแห่งสงครามของโรมัน หรือตรงกับเทพเจ้า Ares ของกรีก เป็นเพราะดาวอังคารปรากฏเป็นสีแดงคล้ายสีโลหิต บางครั้งจึงเรียกว่า "ดาวแดง" หรือ "Red Planet" (ความจริงมีสีค่อนไปทางสีส้มอมชมพูมากกว่า) สัญลักษณ์แทนดาวอังคาร คือ เป็นโล่และหอกของเทพเจ้ามาร์ส ดาวอังคารมีดาวบริวารหรือดวงจันทร์ขนาดเล็ก 2 ดวง คือ โฟบอสและไดมอส โดยทั้งสองดวงมีรูปร่างบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปกลม ซึ่งคาดกันว่าอาจเป็นดาวเคราะห์น้อยที่หลงเข้ามาแล้วดาวอังคารคว้าดึงเอาไว้ให้อยู่ในเขตแรงดึงดูดตนเอง                                                                                                                ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์หิน (terrestrial planet) มีชั้นบรรยากาศเบาบาง พื้นผิวมีลักษณะคล้ายคลึงทั้งหลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์ และภูเขาไฟ หุบเขา ทะเลทราย และบริเวณน้ำแข็งขั้วโลก บนโลก ดาวอังคารมีภูเขาที่สูงที่สุดในระบบสุริยะคือ ภูเขาไฟโอลิมปัส (Olympus Mons) และหุบเขาลึกที่มีชื่อว่า มาริเนริส (Marineris) ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2008 มีบทความ 3 บทความตีพิมพ์ลงในนิตรสาร "Nature" เกี่ยวกับหลักฐานของหลุมอุกกาบาตที่ใหญ่มหึมา โดยมีความกว้าง 8,500 กิโลเมตร ยาว 10,600 กิโลเมตร   นอกจากนั้นสิ่งที่ดาวอังคารมีและคล้ายคลึงกับโลกก็คือคาบการหมุนรอบตัวเองและฤดูกาล         ดาวอังคารสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีค่าความส่องสว่างปรากฏอยู่ที่ 3.0 มีเพียงแค่ดาวศุกร์ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ที่สว่างกว่า
    


ลักษณะทางกายภาพ
โดยภาพรวมนั้นดาวอังคารมีขนาดที่เล็กกว่าโลก คือมีความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับรัศมีของโลกและมีน้ำหนักเทียบได้กับ 11% ของโลก ปริมาตร 15% ของโลก พื้นที่ผิวทั้งหมดของดาวอังคารยังน้อยว่าพื้นที่ที่เป็นพื้นดินของโลกเสียอีก[5] ส่วนสีของดาวที่เห็นเป็นสีส้ม-แดงนั้น เกิดจาก ไอร์ออน(II) ออกไซด์ ซึ่งเป็นที่รู้กันคือ แร่เหล็ก หรือสนิมเหล็กนั่นเอง







ประวัติของดาวอังคาร
               หากเป็นไปได้ว่า ชีวิตในดาวเคราะห์ดวงอื่นน่าจะมีขึ้นได้เช่นเดียวกับโลกเราแล้ว ดาวอังคารเป็นดาวที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด นักดาราศาสตร์บางคนเชื่อว่าดาวดวงนี้ต้องมีชีวิตบางประเภทอุบัติขึ้น อาจจะมีทั้งพืชและสัตว์ตลอดจนมนุษย์ถ้ามนุษย์ที่ดาวอังคารมีอยู่ไซร้ เขาหล่านั้นอาจจะฉลาดล้ำกว่ามนุษย์ในโลกเราก็เป็นได้ ดาวอังคารจึงเป็นดาวที่มนุษย์โลกสนใจมากที่สุด
ดาวอังคารเป็นดาวดวงที่ 4 ของสุริยจักรวาล อยู่ห่าวจากดวงอาทิตย์ 142,000,000 ไมล์ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4,215 ไมล์ หมุนรอบตัวเองกินเวลารอบละ 24 1/2 ช.ม.   โคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลาประมาณรอบละ 687 วันหรือเกือบ 2 ปี ของการโคจรของโลก รอบนอกของดาวอังคารจะห่อหุ้มด้วยบรรยากาศที่ประกอบไปด้วยก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซอ๊อกซิเจนเช่นเดียวกับบรรยากาศของโลก แต่ทว่ามีความหนาน้อยกว่า ที่ดาวดวงนี้มีน้ำอยู่ด้วย ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์เชื่อมั่นว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอุบัติขึ้นแล้วในดาวดวงนี้
           บนดาวอังคารด้านที่ได้รับแสงสว่างเป็นเวลากลางวันนั้นมีอุณหภูมิประมาณ 70 องศาฟาเรนไฮต์ แต่ในด้านที่เป็นกลางคืนนั้นอุณหภูมิจะลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ฤดูบนดาวอังคารก็มี 4 ฤดูเช่นเดียวกับบนโลก ในฤดูหนาวที่ขั้นทั้งสองจะมีน้ำแข็งปกคลุมขาวโพลนเป็นบริเวณกว้างขวาง แต่พอถึงฤดูร้อนก็ค่อย ๆ ละลายหมดไป เชื่อกันว่าน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกดาวอังคารนั้น หนาไม่เกิน 1 ฟุต ใช่แต่เท่านั้นเมื่อมองผ่านกล้องโทรทรรศน์แรงสูง จะเห็นเส้นหรือแนวทางเป็นเส้นตัดทอดจากขั้วโลกทั้งสอง มายังบริเวณเส้นศูนย์สูตรจำนวนมากอีกด้วย ทำให้นักดาราศาสตร์คิดว่า อาจจะเป็นคลองระบายน้ำจากขั้วโลกมาสู่แถบเส้นศูนย์สูตรซึ่งสำเร็จขึ้นมาได้ด้วยฝีมือของมนุษย์ในโลกนั้นก็เป็นได้


ดาวบริวาร
บริวารของดาวอังคาร มีอยู่ 2 ดวงเป็นดาวขนาดเล็ก นักวิทยาศาสตร์คิดว่าคงเป็นสะเก็ดดาวเคราะห์น้อย ที่ถูกสนามแรงโน้มถ่วงของดาวอังคารจับไว้

ชื่อ
เส้นผ่านศูนย์กลาง
(กม.)
น้ำหนัก
(กก.)
ค่าเฉลี่ยของรัศมี
(กม.)
อัตราการหมุนรอบตัวเอง ชม.
โฟบอส
(Phobos)
22.2 (27 × 21.6 × 18.8)
1.08E+16
9,378

7.66



ชื่อ
เส้นผ่านศูนย์กลาง
(กม.)
น้ำหนัก
(กก.)
ค่าเฉลี่ยของรัศมี
(กม.)
อัตราการหมุนรอบตัวเอง ชม.
ไดมอส
(Deimos)
12.6 (10 × 12 × 16)
2.0E+15
23,400

30.35






 บริวารดาวอังคาร
ดาวอังคารมีบริวาร 2 ดวง ชื่อ โฟบอส (Phobos) กับ ไดมอส (Deimos) พบเป็นครั้งแรกโดยเอแสฟ ฮอล (Asaph Hall) ในปี พ.ศ.2420 เป็นดวงจันทร์ขนาดเล็ก พื้นผิวมืดคล้ำ รูปร่างคล้าย มันฝรั่ง อยู่ใกล้ ดาวอังคารมาก สันนิษฐานว่าอาจเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ถูกดาวอังคารดูดจับไว้
โฟบอส มีขนาดประมาณ 20 X 28 กิโลเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 22 กิโลเมตร โคจรรอบ ดาวอังคารรอบละ 7 ชั่วโมง 39 นาที ซึ่งน้อยกว่าเวลาที่ดาวอังคารหมุนรอบตัวเอง ดังนั้น ถ้าเราอยู่บนดาวอังคาร จะเห็นโฟบอสขึ้นทางทิศตะวันตก และตกทางทิศตะวันออกถึงวันละ3 รอบ โฟบอสอยู่ห่างจากศูนย์กลางดาวอังคารประมาณ 9,300 กิโลเมตร   ไดมอส เป็นดวงจันทร์ดวงเล็ก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 กิโลเมตร อยู่ห่างจากศูนย์กลางดาวอังคารประมาณ 23,400 กิโลเมตร โคจรรอบดาวอังคารรอบละ 30 ชั่วโมง 18 นาที สำหรับคนที่อยู่บน ดาวอังคารเห็นโฟบอสกับไดมอส เคลื่อนที่สวนทางกันในท้องฟ้า


                     




 
     

   
            ดวงจันทร์โฟบอส                                                                                                                        ดวงจันทร์ไดมอส
  

การสำรวจ
 8 มีนาคม พ.ศ. 2550 - นายเจฟเฟรย์ แอนดรูวส์-แฮนนาและเพื่อนร่วมงาน แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ พบหลักฐานสำคัญว่า ครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีโครงสร้างของระบบน้ำซึม ซึ่งถือเป็นข้อพิสูจน์ชี้ให้เห็นว่าดาวอังคารเคยมีความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนกับองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตมาเป็นเวลานาน
  22 กันยายน พ.ศ. 2550 - ยาน 2001 มาร์สโอดิสซีย์ พบสิ่งที่ดูเหมือนถ้ำ 7 แห่ง บริเวณเนินลาดของภูเขาไฟบนดาวอังคาร โดยทางยานได้ส่งภาพของพื้นบริเวณหนึ่งซึ่งมืดและมีลักษณะเป็นทรงกลมที่เชื่อว่าเป็นปากถ้ำ เชื่อว่าภายในเป็นพื้นที่กว้างใต้ดินและน่าจะมีอากาศเย็นกว่าพื้นที่โดยรอบในเวลากลางวัน และอุ่นกว่าในเวลากลางคืน ถ้ำทั้ง 7 นี้ทางนาซาได้ตั้งชื่อให้ว่า "น้องสาวทั้ง 7” 




ภาพเปรียบเทียบขนาดของดาวเคราะห์ เรียงจากซ้ายไปขวา ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร





แผนที่ดาวอังคาร





 นาซาเผยภาพชุดใหม่จากยานสำรวจดาวอังคาร
ยานสำรวจ 'คิวริออสซิตี' ขององค์การนาซาส่งภาพชุดใหม่ของพื้นผิวดาวอังคารกลับมายังพื้นโลก ระหว่างเริ่มต้นภารกิจไขปริศนาหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร
            นักวิทยาศาสตร์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือองค์การนาซา เปิดแถลงข่าวที่เมืองพาซาเดนา ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อแจ้งความคืบหน้าภารกิจไขความลับของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร หลังส่งรถหุ่นยนต์ 'คิวริออสซิตี' คันใหม่ล่าสุด ขึ้นไปสัมผัสพื้นผิวดาวเคราะห์สีแดงดวงดังกล่าวได้เป็นผลสำเร็จโดยในการแถลงข่าวล่าสุด องค์การนาซา ได้เปิดเผยภาพชุดใหม่กว่า 200 รูป ซึ่งบันทึกได้ในระหว่างการร่อนลงจอดในช่วงไม่กี่นาทีสุดท้าย ก่อนที่รถหุ่นยนต์ 'คิวริออสซิตี' จะแตะพื้นผิวของดาวอังคาร ตลอดจนภาพการเริ่มปฏิบัติงานสำรวจพื้นผิวดาวเคราะห์สีแดง ในจำนวนนี้รวมถึงภาพขอบหลุมอุกกาบาตเกล ซึ่งเป็นจุดที่ยานร่อนลงจอด และภาพเมาท์ชาร์ป ภูเขาซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของการสำรวจใกล้กับหลุมอุกกาบาตดังกล่าว
นักวิทยาศาสตร์ของนาซา ระบุว่า ภาพชุดใหม่ล่าสุด ถือว่ามีความคมชัดมากกว่าภาพชุดแรกที่ 'คิวริออสซิตี' ส่งกลับมายังพื้นโลกทันทีที่ลงแตะพื้นผิวของดาวอังคาร เมื่อหนึ่งวันที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ภาพชุดล่าสุดยังแสดงให้เห็นว่า 'คิวริออสซิตี' ซึ่งเป็นรถหุ่นยนต์สำรวจ 6 ล้อ พร้อมอุปกรณ์อันทันสมัย กำลังโลดแล่นอยู่บนพื้นผิวของดาวอังคารได้อย่างน่าตื่นเต้นดีใจ ตามที่องค์การนาซา คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ 
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ของนาซา ยังกล่าวด้วยว่า ภาพซึ่งเผยให้เห็นนาทีร่อนลงจอดของ 'คิวริออสซิตี' ที่ว่านี้ ยังถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของวิชาวิศวกรรมศาสตร์ เนื่องจากการส่งรถหุ่นยนต์ขึ้นไปบนดาวอังคารครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่มีการใช้เครนลอยฟ้าติดแรงดันจรวด เพื่อส่งยานสำรวจลงสู่พื้นผิวของดาวอังคารขณะที่รถหุ่นยนต์ 'คิวริออสซีตี' ยังถือเป็นยานสำรวจดาวอังคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่นาซา เริ่มส่งรถหุ่นยนต์สำรวจขึ้นไปบนดาวเคราะห์ดวงดังกล่าวตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา    ทั้งนี้ รถหุ่นยนต์ 'คิวริออสซิตี' ซึ่งมีน้ำหนัก 1 ตัน และมีขนาดเท่ากับรถยนต์เอสยูวี ได้รับการยกย่องว่าเป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์เคลื่อนที่ ที่มีความทันสมัยมากที่สุด เนื่องจากเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์สำรวจอันล้ำสมัย และขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ โดยนาซา หวังว่า 'คิวริออสซิตี' จะสามารถโลดแล่น เพื่อสำรวจดิน และหิน บนดาวอังคาร ได้นานอย่างน้อย 2 ปี 
ส่วนภารกิจหลักของโครงการรถหุ่นยนต์สำรวจดาวอังคารมูลค่าราว 78,000 ล้านบาทคันนี้ คือ การวิจัยเพื่อหาคำตอบว่า ดาวอังคารเคยมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตมาก่อนหรือไม่ นอกจากนี้ รถหุ่นยนต์ดังกล่าวยังถือเป็นโครงการนำร่อง เพื่อเก็บข้อมูล และเตรียมความพร้อมก่อนที่องค์การนาซา จะส่งมนุษย์อวกาศคนแรก ขึ้นไปเหยียบพื้นผิวของดาวอังคารให้ได้ภายในปี 2573




 โครงสร้างดาวอังคาร
ดาวอังคารมีขนาดเล็กกว่าโลกราวครึ่งหนึ่ง มีความหนาแน่นน้อยกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่มีพื้นผิว เป็นดินหินแข็งอย่างโลก แสดงว่าแกนในคงมีเหล็กน้อยกว่า ห่อหุ้มด้วยชั้นหินและ มีผิวเปลือกบาง พื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาต มีหุบเหว ร่องทางยาวและที่ราบ เป็นหย่อม ๆ มีภูเขาไฟ หลายแห่งโดดเด่นมาก เช่น ภูเขาไฟโอลิมปัส สูงที่สุดในระบบสุริยะ ความสูง 24 กิโลเมตร ฐานรอบ ภูเขาไฟกว้าง 600 กิโลเมตรและสูงเป็น 3 เท่าของยอดเขา เอเวอร์เรสบนโลก   ส่วนทางซีกใต้มีหลุมอุกกาบาตใหญ่มาก ชื่อ เฮลลาส (Hellas) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2000 กิโลเมตร ลึก 6 กิโลเมตร ลักษณะเด่นมากบนพื้นผิวดาวอังคารคือ หุบเหวมาริเนอร์ (Mariner) ลึกราว 2-7 กิโลเมตร กว้างราว 4,000 กิโลเมตร เป็นหุบเหวเหยียดยาวผ่ากลางดวงบริเวณ แถบเส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร นอกจากนั้นยังมีพื้นที่ราบลักษณะคล้ายเกิดจากน้ำท่วม บางแห่งมีลักษณะคล้ายซากของชายฝั่งและท้องน้ำ พบซากของร่องทางน้ำไหลมากมายบนดาวอังคาร ทำให้สันนิษฐานว่าดาวอังคารคงเคยมีน้ำมาก่อน ในอดีตกาล


  
      
โครงสร้างดาวอังคาร


ภูเขาไฟนิกซ์ โอลิมปิกา ใหญ่สุดในระบบสุริยะ




 บรรยากาศ
บรรยากาศของดาวอังคารต่างจากบรรยากาศของโลก เพราะส่วนใหญ่เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 95 % มีไนโตรเจน อาร์กอน และออกซิเจน เล็กน้อย มีน้ำอยู่ราว 1 ใน 1000 ของบรรยากาศโลก แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกิดเมฆในบรรยากาศของดาวอังคาร
สภาวะอากาศบนดาวอังคารแปรเปลี่ยนไปตลอดปี ที่ขั้วทั้งสองของดาวอังคารมีน้ำแข็งตลอดเวลา ส่วนในฤดูหนาว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จับตัวแข็งขยายพื้นที่กว้างมากขึ้นที่ขั้วทั้งสอง ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์แห่งพายุฝุ่น อุณหภูมิและกระแสลมที่แปรเปลี่ยนไปทำให้มักเกิดพายุฝุ่น คละคลุ้งทั่วดวงดาวอังคารตลอดปี




ดาวอังคาร
ดาวแดงปริศนา
เดิมชาวกรีกโบราณเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาวเคราะห์สีแดง ( Red Planet ) เนื่องจากดาวดวงนี้มีสีแดงและสุกสว่างกว่าดาวดวงใดๆ ครั้งหนึ่งเคยเชื่อกันว่า ดาวอังคาร เป็นดาวฝาแฝดของโลกและอาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ จึงมีเรื่องเล่าต่างๆ และนิยายวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่กล่าวถึงดาวสีแดงดวงนี้ ดาวอังคาร ( หรือ ในชื่อภาษาอังกฤษ “ Mars ” หมายถึง เทพเจ้าแห่งสงครามของชาวโรมัน ) ยังคงเป็นหนึ่งในปริศนาของจักรวาล ที่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยไม่ละทิ้งความพยายามที่จะสำรวจ ค้นหา และรู้จักความเป็นไปให้มากที่สุด


 ข้อมูลเบื้องต้น
ดาวอังคาร หรือ ดาวเคราะห์สีแดง เป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในระบบสุริยะจักรวาลที่เคยมีความเชื่อกันว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะค้นพบสิ่งมีชีวิตทั้งในอดีตและอาจจะในปัจจุบันด้วย และยังเป็นทางเลือกสำหรับการสำรวจและการตั้งถิ่นฐานของมนุษยชาติในอนาคต จึงไม่น่าประหลาดใจที่ประเทศมหาอำนาจหลายประเทศในโลกส่งยานอวกาศของตนขึ้นไปสำรวจและค้นคว้าวิจัย
ดาวอังคารอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 4 และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ในระบบสุริยะจักรวาล มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 6,794 กิโลเมตร หรือ 4,222 ไมล์ ซึ่งใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งของโลก ดาวอังคารมีมวลประมาณ 6.42 x 10 23 กิโลกรัม หรือ ราว 1/9 ของมวลโลก มีความโน้มถ่วงที่พื้นผิวราว 38% ของผิวโลก ดังนั้นน้ำหนัก 60 กิโลกรัมบนโลก จะมีน้ำหนักเหลือประมาณ 22.8 กิโลกรัมบนพื้นผิวดาวอังคาร ดาวอังคารอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 227,940,000 กิโลเมตร หรือ 141,600,000 ไมล์ คิดเป็นระยะประมาณ 1.5 เท่าของระยะห่างจากดวงอาทิตย์ถึงโลก โดยดาวอังคารจะโคจรเป็นวงรีรอบดวงอาทิตย์และมีระยะห่างระหว่าง 206.6 - 249.2 ล้านกิโลเมตรจากดวงอาทิตย์ ดาวอังคารมีอุณหภูมิเฉลี่ย -65 องศาเซลเซียส (หรือ -85 องศาฟาร์เรนท์ไฮท์) ขณะที่อุณหภูมิจริง อยู่ระหว่าง -140 ถึง +20 องศาเซลเซียส
( หรือ -220 ถึง +70 องศาฟาร์เรนท์ไฮท์ ) ดาวอังคารมีดาวบริวารเล็กๆ 2 ดวง คือ Phobos หมายถึงความกลัวและ Deimos หมายถึงน่ากลัว โดยความหมายของชื่อดาวบริวารทั้งสองนี้จะสอดคล้องกับชื่อของดาวอังคาร ซึ่งหมายถึงเทพเจ้าแห่งสงครามนั่นเอง ดาวอังคารมีความหนาของชั้นบรรยากาศราว 0.7% ของโลกเท่านั้น แต่ก็เพียงพอที่จะเกิดลมหรือพายุฝุ่นได้โดยชั้นบรรยากาศประกอบด้วย Carbon Dioxide (95.3%) Nitrogen (2.7%) Argon (1.6%)Oxygen (0.15%) ไอน้ำ (0.03%) และอื่นๆ พื้นผิวดาวอังคารประกอบด้วยหินที่ประกอบด้วยโลหะจำพวกเหล็กและผงโลหะเป็นส่วนมาก จึงทำให้เมื่อมองจากโลกเห็นเป็นสีแดง ขณะที่ขั้วโลกประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์แข็งและน้ำแข็งปกคลุม เคยเชื่อกันว่า ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่คล้ายกับโลก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดาวอังคารมีอุณหภูมิต่ำกว่าโลกมากและแห้งแล้ง นอกจากนี้ชั้นบรรยากาศที่เบาบาง ยังไม่สามารถป้องกันรังสีที่แผ่มาจากดวงอาทิตย์ได้
ดาวอังคารจัดเป็นดาวเคราะห์ที่มีพื้นพิภพ ( Terrestial planet) ที่มีความแตกต่างของระดับความสูงของภูมิประเทศมากกว่าดาวเคราะห์ใดๆ ซีกโลกใต้ของดาวอังคารเป็นที่ราบสูงซึ่งเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาต ลักษณะคล้ายคลึงกับ ดวงจันทร์ซึ่งมีความแตกต่างกันมากกับทางซีกโลกเหนือ ซึ่งเป็นที่ราบต่ำและมีอายุน้อยกว่าแต่มีประวัติความเป็นมาซับซ้อน มีการเปลี่ยนแปลงระดับความสูงบริเวณขอบของพื้นที่นับหลายกิโลเมตร สภาพภายในของดาวอังคารซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลที่เก็บได้จากพื้นผิว คาดว่ามีแกนแน่น รัศมี 1,7000 ก.ม. ล้อมรอบด้วยหินร้อนหลอมละลายและมีเปลือกบาง ดาวอังคารมีความหนาแน่นต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับดาวเคราะห์ที่มีพื้นพิภพดวงอื่น และอาจบ่งชี้ได้ว่าแกนของมันประกอบด้วยเหล็กและกำมะถัน (iron and iron sulfide)



เส้นทางการสำรวจ
การเดินทางของนักบินอวกาศ ผู้อุทิศชีวิตเพื่อการสำรวจจักรวาลอันไกลโพ้น เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายทศวรรษ ความสนใจเกี่ยวกับดาวอังคารเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อมีค้นพบของนักดาราศาสตร์ในราว 200 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ปี ค.ศ 1609 เมื่อโจฮันเนส เคปเลอร์ สำรวจพบว่า ดาวอังคารมีวงโคจรเป็นรูปวงรี และต่อมาในปี ค.ศ.1700 ได้มีการร่างภาพพื้นผิวดาวอังคารโดย คริสเตียน ไฮเกนส์ จนกระทั่งในปี ค.ศ.1877 จีโอวานนี เชพพาเรลลี่ ได้ส่องกล้องเห็นแนวคลองบนดาวอังคารหรือที่เรียกว่า canali หรือเส้นทางคล้ายร่องน้ำ การค้นพบครั้งนี้จุดประกายให้แก่นักดาราศาสตร์อื่นๆ เป็นอย่างมาก ต่อมาในปี ค.ศ 1894 เพอร์ซิวาล โลเวลล์ ได้สร้างหอดูดาวที่รัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกา เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ดาวอังคาร นอกจากนี้ยังสามารถสร้างแผนที่พื้นผิวดาวอังคารเพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิมด้วย โลเวลล์นี้เองคือผู้ที่พยายามพิสูจน์ว่ามีคลองชลประทานหรือแนวคลองขุดบนดาวอังคาร
ต่อมาในราวปี ค.ศ.1965 องค์การนาซาของสหรัฐฯ ได้ส่งยานอวกาศ มาริเนอร์ 4 ไปสำรวจดาวอังคารเป็นครั้งแรก และส่งภาพพื้นผิวดาวอังคารกลับมายังโลก 21 ภาพ ตามด้วยยานอวกาศอื่นๆ อีกหลายลำ เช่น ยานมาร์ ขององค์การอวกาศแห่งอดีตสหภาพโซเวียต ยานไวกิ้ง 1 และ 2 ( ค.ศ. 1976 ) ยานพาธไฟเดอร์ ( ค.ศ.1997 ) ซึ่งพยายามค้นหาร่องรอยสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ตามด้วยยานโกลบอลเซเวอร์เยอร์ ยานโนโซมิของญี่ปุ่น ยานมาร์เอ็กเพรส ยานบีเกิล 2 และล่าสุดยานสปิริตและยานออพพอร์ทูนิตี้
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 2003 และต้นปี 2004 มียานอวกาศนานาชาติไม่ต่ำกว่า 6 โครงการที่จะไปเยือนดาวอังคาร ในปี ค.ศ. 2003 โครงการขององค์กรอวกาศยุโรป (European Space Agency-ESA) ได้ส่งยานอวกาศชื่อ ด่วนสู่ดาวอังคาร
( Mars Express ) ไปทำการสำรวจ ซึ่งถือเป็นการเปิดยุคใหม่ของการสำรวจดาวเคราะห์ของยุโรปขึ้น วัตถุประสงค์หลักของปฏิบัติการ คือการสำรวจหาน้ำใต้พื้นผิว (subsurface water) รวมทั้งทิ้งยานแลนเดอร์ลงบนพื้นผิวดาวอังคารด้วย เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ 7 แบบที่ติดตั้งไปกับยานโคจร (orbiter) จะทำการทดลองสำรวจ remote sensing ที่สร้างมาเพื่อสำรวจสภาพบรรยากาศ โครงสร้างและลักษณะทางธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์หวังว่าเครื่องมือที่ติดตั้งบน Mars Express จะทำการตรวจจับได้ว่ามีน้ำอยู่ใต้พื้นผิวหรือไม่ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการก่อตัวของแม่น้ำ แอ่งน้ำ และน้ำแข็งใต้ดิน นอกจากวัตถุประสงค์หลักทางวิทยาศาสตร์แล้ว Mars Express ยังช่วยอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการสื่อสารที่ล่าช้า (relay communication) ระหว่างโลกกับแลนเดอร์จากชาติอื่นๆ ที่จะลงบนพื้นผิวด้วย ซึ่งจะก่อให้เกิดการรวมกลุ่มในระดับนานาชาติในการสำรวจดาวอังคาร ยานแลนเดอร์ซึ่งมีชื่อว่า บีเกิล 2(Beagle 2) จะทำการสำรวจเกี่ยวกับชีววิทยานอกโลก (exobiology) และธรณีเคมี (geochemistry) สภาวะอากาศ และสภาวะแวดล้อม เมื่ออยู่บนพื้นผิวดาวอังคาร ยานบีเกิล 2 จะต้องอยู่ในสภาพอุณหภูมิต่ำถึง 100 องศาเซลเซียส มันจะนำเครื่องมือวิทยาศาสตร์หลายชนิดที่ได้รับพลังงานจากโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ที่เติมไฟได้ไปด้วย ภารกิจแรกสำหรับบีเกิล 2 คือการถ่ายภาพทั้งจากกล้องพาโนรามาและกล้องมุมกว้างของบริเวณลงจอด เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการสำรวจต่อไป
กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูงจะใช้เพื่อส่องหินและดิน เศษหินภายในระยะเอื้อมถึงของแขนกลยานบีเกิล 2 จะถูกวิเคราะห์หาสสารอินทรีย์ น้ำและแร่ธาตุอื่นๆ ที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ ยานแลนเดอร์ยังต้องเจาะลงไปในพื้นผิว 1 เซนติเมตรทุก ๆ 6 วินาที และนำตัวอย่างดินขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์ก๊าซ จุดมุ่งหมายแรกสำหรับการทดลองเหล่านี้ เพื่อมองหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิต ถ้ามีสิ่งมีชีวิตในอดีตในบริเวณที่ลงจอด การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาและในปัจจุบันของดาวอังคารจะช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมของเราได้ดีขึ้น เช่น ถ้าเราสามารถบอกได้ว่าน้ำบนดาวอังคารหายไปในอดีตได้อย่างไร เราอาจจะศึกษาเกี่ยวกับชะตากรรมที่อาจเกิดขึ้นคล้ายกันกับมหาสมุทรในวันหนึ่งข้างหน้าได้
สำหรับยานสำรวจ Nozomi ( หมายถึง ความหวัง ) ซึ่งเป็นดาวเทียมของญี่ปุ่น ที่จะโคจรรอบดาวอังคารตามแผนการเดินทางเริ่มแรกนั้น โนโซมิจะเดินทางถึงดาวอังคารในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ.1999 แต่ระหว่างการสวิงผ่านโลกครั้งแรก มันไม่สามารถเร่งความเร็วได้ถึงกำหนด เนื่องจาก thruster valve ไม่ทำงาน จึงต้องปรับเปลี่ยน และทำให้ใช้เชื้อเพลิงมากกว่าที่วางแผนไว้ ทีมควบคุมการบินได้ส่งคำสั่งเพื่อดึงมันกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องสู่ดาวอังคาร ทีมได้พบว่าโนโซมิไม่มีเชื้อเพลิงเพียงพอที่จะจุดจรวด เพื่อส่งตัวมันเข้าสู่วงโคจรได้ตามกำหนด ทีมวิเคราะห์ปฏิบัติการจึงหาเส้นทางอื่นที่เอื้อต่อปริมาณเชื้อเพลิงและสภาวะการสำรวจ การโคจรที่วางแผนในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ.1999 จึงยกเลิกไปและเส้นทางใหม่ได้ถูกสร้างขึ้น จากเวลานั้นโนโซมิจึงมีกำหนดถึงดาวอังคารในช่วงต้นปี ค.ศ. 2004 หลังจากสวิงผ่านโลก 2 ครั้งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 และเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2003
เป้าหมายหลักสำหรับปฏิบัติการโนโซมิ คือการพัฒนาเทคโนโลยีที่ต้องการสำหรับปฏิบัติการในอนาคต โดยตรวจสอบ โครงสร้างและความเคลื่อนไหวในชั้นบรรยากาศดาวอังคาร ความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศดาวอังคารกับลมสุริยะ ตรวจสอบสนามแม่เหล็กบนดาว ถ่ายภาพสภาพอากาศและดวงจันทร์ทั้งสอง
สถานะการณ์ล่าสุดของยานโนโซมิซึ่งอาจจะมีปัญหาเมื่อต้องสวิงผ่านโลกครั้งที่สองโดยใช้แรงเหวี่ยงจากโลก เพื่อดีดเข้าสู่เส้นทางไปยังดาวอังคาร และปัญหาที่ใหญ่กว่าก็คือ เนื่องจากระบบทำความร้อนที่เสียหายยังไม่ได้รับการซ่อมแซม จึงเกรงว่ายานอาจจะ ไม่สามารถเข้าสู่วงโคจรดาวอังคารได้
ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2004 นี้ดาวอังคารจะมีผู้เยี่ยมเยือนอีกอย่างน้อย 6 ปฏิบัติการ ประกอบด้วยยานแลนเดอร์ 3 ลำและยานโคจรอีก 3 ลำ รวมทั้งยานมาร์ส โอดิสซี และ มาร์ส โกลบอล เซอร์เวเยอร์ที่โคจรอยู่รอบดาวอังคารในขณะนี้ด้วย การสื่อสารและส่งข้อมูลระหว่างยานโคจรสู่ศูนย์บนโลก อาจเกิดการติดขัดได้เนื่องจากช่องทางการสื่อสารที่จำกัด นาซ่าจึงทุ่มงบประมาณกว่า 54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเตรียมสร้างสถานีเครือข่ายอวกาศห้วงลึก (Deep Space Network) ใกล้กรุงแคนเบอร์ราในออสเตรเลีย กรุงแมดริดในสเปน และโกลด์สโตนในแคลิฟอร์เนีย ทั้งนี้เพื่อรับมือกับสภาพติดขัดนี้ นอกจากนี้นาซ่ายังใช้เงิน 3 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย เพื่อจองเวลากล้องโทรทรรศน์ Parkes ขนาด 64 เมตรในการตามยาน สร้างตัวรับสัญญาณใหม่ และปรับปรุงพื้นผิวของกล้องโทรทรรศน์เพื่อให้รับสัญญาณได้เป็น 2 เท่า


บทส่งท้าย
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของการค้นหา และไม่ว่าบทลงท้ายจะเป็นเช่นไร มนุษย์ได้เริ่มตั้งข้อสังเกตแล้วว่า เราอาจมิได้เป็นมนุษย์เพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่ดำรงชีวิตอยู่ในจักรวาลอันไพศาลนี้ มนุษย์จึงได้ร่วมมือกันโดยมิได้คำนึงถึงเชื้อชาติและข้อแตกต่างใดๆ และทุ่มเทสติปัญญา ความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นที่จะค้นหา และค้นพบบางสิ่งที่แอบคาดหวัง ร่องรอยการเดินทางอันยิ่งใหญ่ที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกและจิตใจอันกล้าหาญของนักสำรวจรุ่นแล้วรุ่นเล่า ถูกเล่าขานไม่รู้จบสิ้น แม้นมนุษย์จะพบเพียงความว่างเปล่าในท้ายที่สุด ทว่าความฝันและความปรารถนาอันแรงกล้ายังคงอยู่ และอาจจะถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง ตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงอยากรู้ และเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจักรวาลเหนืออื่นใดปริศนาที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่า มนุษย์โดดเดี่ยวเพียงลำพังหรือไม่ในห้วงจักรวาลนี้ ยังคงท้าทาย และรอคอยอย่างไม่หวั่นต่อกาลเวลาและผู้ออกเดินทางไปเพื่อค้นหาคำตอบดังใจปรารถนาเพราะดวงดาวยังคงเป็นตัวแทนของความฝันและความหวังในใจมนุษย์ ที่ผู้คนบากบั่นเพื่อให้ได้มาหรือเพียงไปให้ถึงดังคำกล่าวขาน


ข่าวล่าสุด
ออพพอร์ทูนิตี้ส่งภาพชุดแรกกลับโลก
องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา ( นาซ่า ) แถลงเมื่อวันที่ 25 มกราคม ว่ายานออพพอร์ทูนิตี้ ซึ่งเป็นยานหุ่นยนต์คู่แฝดของยานสปิริต ได้ส่งภาพถ่ายชุดแรกกลับมายังโลกแล้ว ภายหลังจากลงจอดบนดาวอังคารเป็นผลสำเร็จเมื่อเวลา 21.05 น. ของวันเสาร์ ตามเวลาในสหรัฐ ซึ่งตรงกับเวลาประมาณ 12.05 น. ของวันอาทิตย์ตามเวลาในไทย โดยภาพถ่ายชุดนี้มีทั้งภาพสีและภาพขาวดำที่แสดงให้เห็นภาพตัวยานจอดอยุ่บน ที่ราบใกล้หินก้อนหนึ่ง ยานออพพอร์ทูนิตี้ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ 6 ล้อ ลงจอดคนละฝากฝั่งกับยานสปิริตในบริเวณที่เรียกว่าเมริเดียนี แพลนัม ที่ราบขนาดใหญ่ใกล้เส้นศูนย์สูตรซึ่งเป็นแหล่งแร่เฮมาไทต์ขนาดใหญ่ เพราะนักวิทยาศาสตร์วางแผนจะให้ยานลำนี้สำรวจชั้นแร่เฮมาไทต์ซึ่งเป็น ออกไซด์เหล็กในบริเวณดังกล่าว เพื่อวิเคราะห์ว่าเกิดจากตะกอนของมหาสมุทร เถ้าถูเขาไฟ หรือจากสภาพแวดล้อมโบราณอื่นๆ บนดาวอังคารกันแน่ ในส่วนของยานสปิริตที่ลงจอดบนดาวอังคารเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน และเกิดปัญหาระบบสื่อสารขัดข้องทำให้ขาดการติดต่อกับพื้นโลกนาน 2 วันนั้น นาซ่าแถลงว่าได้รีเซตโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ทำให้ยานสปิริตสามารถส่งสัญญาณ กลับโลกได้แล้ว แต่ข้อมูลที่ส่งกลับมายังขาดตอน จึงตัดสินใจปิดระบบชั่วคราว ทำให้ต้องหยุดสำรวจดาวอังคารนาน 3 สัปดาห์
ทั้งนี้ยานหุ่นยนต์แฝด 2 ลำถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจค้นหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์สีแดงร่วมกัน โดยนาซ่าได้ส่งยานสปิริตออกเดินทางเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ปีที่แล้ว ตามด้วยยานออพพอร์ทูนิตี้ ในวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งยานคู่แฝดทั้ง 2 ลำได้เดินทางถึงดาวอังคารในวันที่ 3 ม.ค. และ 24 ม.ค. ตามลำดับ ผู้สนใจข่าวคราวการสำรวจดาวอังคารของยานคู่แฝดทั้ง 2 ลำอย่างใกล้ชิด
องค์การนาซ่าตั้งชื่อเนินใกล้บริเวณจุดลงจอดยานสำรวจตามชื่อลูกเรือยานโคลัมเบียเพื่อเป็นการรำลึกถึงผู้อำนวยการองค์การนาซ่า ฌอน โอคีฟี่ แถลงในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า นาซ่าจะตั้งชื่อเนินที่อยู่ทางตะวันออกของจุดลงจอดยานสำรวจสปิริต ตามชื่อลูกเรือยานอวกาศโคลัมเบีย เอสทีเอส 107    เพื่อเป็นการรำลึกถึงลูกเรือของยานทั้ง 7 ชีวิต
เนินเขาทั้งเจ็ดลูกนี้จะได้รับการตั้งชื่อตามชื่อลูกเรือชุดสุดท้ายของยานขนส่งอวกาศโคลัมเบีย
พื่อเป็นการรำลึกถึงดวงวิญญาณที่กล้าหาญของพวกเขา ลูกเรือยานโคลัมเบียต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ท้าทาย และได้กระทำการอันเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ในขณะปฏิบัติหน้าที่ในการสำรวจ ยานอวกาศโคลัมเบียมีนักบินอวกาศริค ฮัสแบน เป็นผู้บัญชาการ และนักบินอวกาศวิลเลียม แมคคูลเป็นนักบินผู้ควบคุม ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการปฏิบัติการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายคือ นักบินอวกาศไมเคิล แอนเดอร์สัน นักบินอวกาศกัลนา เชาลา นักบินอวกาศเดวิด บราวน์ นักบินอวกาศลอเรล คลาค และนาวาอากาศเอกอิแลน รามอน ผู้เชี่ยวชาญด้านขีปนาวุธจากประเทศอิสราเอล
ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ 2003 ยานโคลัมเบียและลูกเรือได้หายไปจากน่านฟ้าทางทิศตะวันตก ขณะกำลังบินผ่านเข้ามายังชั้นบรรยากาศของโลกเพื่อลงจอด เที่ยวบินที่ 28 ซึ่งเป็นเที่ยวบินสุดท้ายของยานโคลัมเบียนี้ ได้ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการโดยมีระยะเวลาทั้งสิ้น 16 ภารกิจดังกล่าวได้แก่การค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในอวกาศ ลูกเรือยานโคลัมเบียประสบ ความสำเร็จในการทดลองกว่า 80 รายการ องค์การนาซ่าจะได้เสนอเรื่องนี้ไปยัง สหพันธ์ดาราศาตร์นานาชาติ เพื่อการประกาศตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ
ภารกิจของยานขนส่งโคลัมเบียซึ่งเป็นยานขนส่งที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐ คือการนำนักบินอวกาศ 7 คน ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งเป็นภารกิจครั้งที่ 28 ของยานลำนี้ ยานขนส่งโคลัมเบียใช้งานมาแล้ว 22 ปี ผ่านการแก้ไขปรับปรุงมาแล้วมากกว่า 100 ครั้ง และล่าสุดได้เข้าซ่อมบำรุงที่โรงงานในเมืองปาล์มเดล รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ.1999 การระเบิดของยานขนส่งอวกาศโคลัมเบียครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อการศึกษาค้นคว้าวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เนื่องจากขณะนี้ สหรัฐฯ และประเทศมหาอำนาจรวมทั้งรัสเซียได้ร่วมกันดำเนินการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติขึ้น และกำลังอยู่ในขั้นการดำเนินการใช้ยานขนส่งอวกาศโคลัมเบียเป็นยานพาหนะ เพื่อให้นักบินอวกาศและผู้เกี่ยวข้องได้เดินทางไปฏิบัติภารกิจที่สถานีอวกาศนานาชาติ พร้อมขนส่งสัมภาระต่างๆ ไปยังสถานีอวกาศ ดังนั้นการสูญเสียยานขนส่งอวกาศโคลัมเบียครั้งนี้ จะทำให้การดำเนินการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



อ้างอิง

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3